วันที่ 24 มีนาคม. 2566 เวลา 00:00
รองต่อ เปิดไทม์ไลน์ปฏิบัติการ สยบหนุ่มคลั่งกราดยิงเมืองเพชรบุรี ชื่นชมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานใจเกิน 100
วันที่ 23 มี.ค.66 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยถึงปฏิบัติการ สยบชายคลุ้มคลั่ง ก่อเหตุใช้อาวุธปืน ยิงผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บ 3 ราย ในพื้นที่ จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ (22 มี.ค.66) ที่ผ่านมา ว่าปฏิบัติการเมื่อคืนจบด้วย คนร้ายถูกวิสามัญ เนื่องจากเขาต่อสู้ พร้อมเล่าย้อนเหตุการณ์ว่า ตนเองทราบข่าวเมื่อประมาณ 16.00 น. แต่ก็ติดภารกิจสำคัญอยู่ และก็ได้คุยกับ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. โดยก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 เดินทางไปก่อนแล้ว รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ลงมาอำนวยการสั่งการด้วย
โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้ตนเองเดินทางไปดูสถานการณ์ที่จุดเกิดเหตุ เมื่อไปถึงยังจุดเกิดเหตุ ปัญหาแรกที่เห็น คือคนที่ถูกยิงเสียชีวิตอยู่หน้าบ้าน ยังไม่สามารถนำศพออกมาได้ ตนเองสั่งการตั้งแต่ตอนเย็นก่อนที่จะเดินทางไปว่าอยากให้นำคนเจ็บหรือผู้ที่เสียชีวิตออกมาให้ได้ก่อน ก็มีความพยายามที่จะนำ 3 คนออกนี้ออกมา แต่ปรากฏว่ารถตำรวจที่เข้าไปก็โดนยิง ตำรวจโดนยิงที่แก้ม และรถหุ้มเกราะไม่มี ในเรื่องนี้ถือเป็นปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องของปฏิบัติการพิเศษ ซึ่งส่วนตัวก็รับปัญหานี้มา จะได้นำเรียน ผบ.ตร. จัดหาอุปกรณ์ช่วย ซึ่งตนได้นำรถหุ้มเกราะ ของคอมมานโดเข้าไป โดยการใช้รถหุ้มเกราะเป็นกำบังและชุดปฏิบัติการพิเศษเดินด้านข้าง มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิขึ้นท้ายรถจนสามารถนำผู้เสียชีวิตออกจากจุดเกิดเหตุได้และไม่มีการยิงปะทะต่อสู้ในช่วงที่มีการเข้าไปนำผู้เสียชีวิตออกมา
จากการสอบสวน ทราบว่า ผู้ก่อเหตุกับผู้ที่ถูกยิงเสียชีวิต 2 คนแรก เป็นคู่กรณีกันในเรื่องของการทะเลาะวิวาทและทำลายร่างกาย ซึ่งเมื่อวันที่ (22 มี.ค.66) เป็นการสืบพยานในชั้นศาลเป็นครั้งที่ 3 โดยคืนก่อนเกิดเหตุผู้ก่อเหตุรายนี้ได้ไปดื่มเหล้ามาจนเมาพอตอนเช้า มีกำหนดจะต้องเดินทางไปศาลโดยแม่ของผู้ก่อเหตุ ได้เดินทางไปรอที่ศาลก่อนแล้ว แต่ตัวเขาไม่ไป และได้มาก่อเหตุยิงคู่กรณี ดังกล่าว จากการชันสูตรของแพทย์ทราบว่า ผู้เสียชีวิตคนแรกที่เป็นคู่กรณีกัน ถูกยิง 6 นัด กระสุนเข้าที่ต้นคอ กลางศีรษะ ส่วนอีกรายที่เป็นพยานในคดีถูกยิง 15 นัด ถูกยิงจนหมดแม็กกาซีนและในจังหวะนั้น มีพนักงานขับรถส่งของผ่านมาถูกยิงอีก 8 นัด ทั้งที่ไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรด้วย นอกจากนี้ ยังมี นายก อบต.ต้นมะม่วง ขับรถผ่านมาก็ถูกยิงกระสุนเฉี่ยวเข้าที่ลำคอได้รับบาดเจ็บ รวมเหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 มี.ค.66 มีผู้เสียชีวิต 3 ศพ และบาดเจ็บ 3 ราย
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวย้ำว่า หากเป็นเคส Active shooter คือ เจอใคร ก็จะยิงไปทั่วโดยไม่สนใจ เจ้าหน้าที่จะต้องเข้าปฏิบัติการตั้งแต่ครั้งแรก แต่เคสนี้ ไม่ใช่ Active shooter เพราะเขาเลือกยิงคู่กรณีก่อน ส่วนคนส่งของมาเห็นเหตุการณ์ก็จำเป็นต้องยิง แต่ไม่ได้ยิงแบบมั่วซั่ว ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้ยุทธวิธี ในการเจรจา มีเวลาให้แม่ของผู้ก่อเหตุมาเจรจาต่อรอง แต่เขาก็ไม่ฟัง ตัดการติดต่อ ทั้ง Facebook ออกทั้งหมดและยิงปืนออกมาเป็นระยะจึงตัดสินใจบุกเข้าปฏิบัติการเพราะหากทิ้งเวลาเนิ่นนานจะเป็นอันตรายและในช่วงเช้า มีการปรึกษา เหตุแห่งความชอบธรรมของกฎหมายแล้วจึงเข้าปฏิบัติการ ซึ่งการปฏิบัติครั้งนี้ประสบความสำเร็จต้องขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รอง ผบ.ตร. ยังกล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้เคยมีการวิเคราะห์กันแล้วว่าฝากถึงสื่อมวลชนว่าเคสที่เกิดไปแล้วอย่าไปตอกย้ำ เพราะเป็นการตอกย้ำความรู้สึกและการไปเปิดวาร์ป ของผู้ก่อเหตุทำให้ผู้ก่อเหตุ กลายมาเป็นฮีโร่ แต่ตำรวจที่เข้าปฏิบัติหน้าที่กลายเป็นจำเลยของสังคม เพราะฉะนั้นต่อไปคนที่เป็นโรคซึมเศร้า หรือคนที่เป็นจิตเวช เมื่อเกิดการคลุ้มคลั่งจะเป็นพฤติกรรมของการเลียนแบบ หากนับเนื่องจากเหตุการณ์กราดยิงที่ Terminal 21 ที่จังหวัดนครราชสีมา จนถึงปัจจุบันพบว่ามีเหตุการณ์เลียนแบบในลักษณะนี้แล้วประมาณ 7 ครั้ง จึงอยากขอให้งดการเสนอข่าวที่เป็นเชิงบวกของผู้ก่อเหตุเพราะเรากำลังสร้างฮีโร่ ของกลุ่มที่เป็นโรคซึมเศร้า หรือกลุ่มที่เป็นจิตเวช ซึ่งข้อมูลนี้เป็นข้อมูลการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกาว่าจะมีการเกิด Copy Case ขึ้นมา ฝากสื่อมวลชนให้เป็นข้อคิด และก่อนหน้านี้ เคยทำโครงการ Run Hide Fight (วิ่ง ซ่อน สู้ ) โดยพี่น้องประชาชนหากได้ยินเสียงปืนที่ไหนให้ วิ่ง ซ่อน สู้ นั่นคือสิ่งที่ต้องทำในเคสของ Active Shooter ใช้ได้ในทุกสถานการณ์ที่ล่อแหลม และเป็นภัยต่อชีวิตของพี่น้องประชาชน ไม่ต้องห่วงคอยถ่ายคลิปให้ตำรวจดู แต่ขอให้พี่น้องประชาชน วิ่งซ่อนสู้ หนีไปให้ไกลจากที่เกิดเหตุให้มากที่สุด