วันนี้ (20 มี.ค. 68) เวลา 11:00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย นายนาโอโตะ วาตานาเบะ เลขานุการเอกและผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ และ พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ร่วมแถลงปฏิบัติการจับกุมหัวหน้าแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ชาวญี่ปุ่น และช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกหลอกไปทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยระบุว่า เป็นแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ชาวญี่ปุ่นที่หลอกคนในประเทศตัวเอง

โดยเรื่องแรกที่ได้จับกุม เป็นหัวหน้าแก๊งใหญ่ที่สุด ที่ทางการญี่ปุ่นต้องการตัว โดยหลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศไทย ซึ่งพบว่ามีความเชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ฝั่งเมียวดี แต่ใช้ฐานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ในประเทศกัมพูชา และเวียดนาม  โดยเจ้าหน้าที่ยังพบว่า เคยเป็นอดีตสมาชิกของแก๊งยากูซ่าระดับบน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหารรายนี้เช่าคอนโดอยู่ย่านสาทร มีค่าเช่ารายเดือนอยู่ที่ 180,000 บาท และจากการตรวจค้นยังพบชาวญี่ปุ่นอีก 4 คนที่อยู่ภายในที่พักดังกล่าว ซึ่งทั้ง 4 คนเคยต้องโทษคดีอาญาในหลายคดี และยังตรวจพบเงินที่อยู่ในวอลเล็ต กว่า 30 ล้านบาท

ส่วนกรณีที่ 2 เป็นกรณีที่เด็กชาวญี่ปุ่นอายุ 16 ปี ถูกหลอกไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในตอนใต้ของประเทศเมียนมา ที่ได้รับการช่วยเหลือจากทางการไทย และส่งกลับไปประเทศญี่ปุ่น ได้ให้ข้อมูลว่า ยังมีเหยื่ออีก 2 คนที่ประสงค์ขอความช่วยเหลือ  ซึ่งการช่วยเหลือในครั้งนี้เป็นการประสานความร่วมมือกันระหว่างทางการไทยกับทางการเมียนมา และชนกลุ่มน้อยในประเทศเมียนมา

สำหรับ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีเยาวชนญี่ปุ่น ถูกหลอกไปทำงานเจ้าหน้าที่มีข้อมูลว่า หัวหน้าแก๊งค์ที่เป็นชาวญี่ปุ่นมีเชื้อสายจีน เป็นไปได้ว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศจีน และหัวหน้าแก๊งทั้ง 2 จะมุ่งหลอกลวงไปที่คนประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก ซึ่งในเฉพาะกลุ่มนี้พบตัวเลขผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น รวมเป็นเงินจำนวนกว่า 50,000,000 เยน

ส่วนกรณีสุดท้าย เจ้าหน้าที่ได้ติดตามจับกุมชายชาวญี่ปุ่น ที่มีหมายจับคดีลักทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่น โดยชนกลุ่มน้อยทางฝั่งเมียวดี ได้จับกุมตัว และส่งกลับมาประเทศไทย โดยเจ้าตัวรับสารภาพว่าทำงานให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเขตพื้นที่ชเวก๊กโก โดยเป็นผู้ดูแลการเงิน และบัญชีของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และให้ข้อมูลว่าในแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ยังมีคนทำงานอยู่ในนั้นอีกหลายเชื้อชาติ มากกว่า 50 คน 
 
อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.ธัชชัย เน้นย้ำว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ เพื่อปกป้องพลเมืองของทั้งสองประเทศจากอาชญากรรมประเภทนี้