8 กุมภาพันธ์ 2568  นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า ที่มีการแพร่โรคในกลุ่มโค-กระบือ ในประเทศไทย ว่า ปัจจุบันพบการระบาดโรคพิษสุนัขบ้าในบางพื้นที่ พบมากในกลุ่มสุนัขจรจัด จากข้อมูลการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าย้อนหลัง 5 ปี พบการติดเชื้อในโค กระบือเฉลี่ย 26 ตัวต่อปี คิดเป็น 10 – 15% ของจำนวนสัตว์ที่พบติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าทั้งหมดในประเทศไทย โดยมีสาเหตุติดเชื้อมาจากการถูกสุนัขกัด พบมากในแถบภาคอีสานและใต้ของประเทศไทย

"ยังไม่พบการรายงานการแพร่ระบาดจากโคสู่โคร่วมฝูง หรือสู่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้องค์การอนามัยโลก ออกประกาศเตือนว่า การรับประทานเนื้อโคที่ติดเชื้อโดยไม่ผ่านการปรุงสุก อาจมีความเสี่ยงต่อการติดโรคพิษสุนัขบ้า หากมีการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ติดเชื้อ ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโดยด่วน ทั้งนี้ โอกาสติดเชื้อจากการสัมผัส หรือบริโภคเนื้อดิบถือว่าค่อนข้างน้อย"

"กรมปศุสัตว์ดำเนินมาตรการเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าอย่างเข้มงวด โดยลงพื้นที่สอบสวนโรคทันที เมื่อพบการระบาด และฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้สุนัขและแมวทุกตัว รอบจุดเกิดโรค รวมทั้งติดตามหาคนหรือสัตว์ที่ถูกกัด ภายในรัศมี 5 กิโลเมตร จากจุดเกิดโรค และกักสัตว์ที่ถูกกัดหรือสัมผัสเชื้อ รวมถึงโคกระบือในฝูงที่พบโรค เพื่อดูอาการ 15 วัน พร้อมฉีดวัคซีน และจับกุมสุนัขจรจัดในพื้นที่ต้องสงสัย เพื่อนำมากักดูอาการ ทำหมัน และฉีดวัคซีน ประกาศเขตโรคระบาดสัตว์ชั่วคราว เป็นเวลา 30 วัน และเฝ้าระวังโรคต่อเนื่องนาน 6 เดือน และประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชน เรื่องการป้องกันและควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า"

สำหรับกรณีจำเป็นต้องทำลายปศุสัตว์ที่สงสัยติดเชื้อ กรมปศุสัตว์ จะจ่ายเงินชดเชย 3 ใน 4 ของราคาสัตว์ ตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ และจะบูรณาการแก้ปัญหาสุนัข – แมวจรจัด เพื่อแก้ปัญหาต้นตอของโรค โดยร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควบคุมจำนวนประชากรสุนัขและแมว ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ให้ครอบคลุมมากกว่า 80% ทุกปี ศึกษาวิจัยและบริหารจัดการปัญหาสุนัขจรจัดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้ความรู้ประชาชนเรื่องการเลี้ยงสัตว์อย่างรับผิดชอบ หากพบเห็นสุนัข แมว หรือปศุสัตว์ แสดงอาการต้องสงสัยโรคพิษสุนัขบ้า สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่อาสาปศุสัตว์ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ หรือสายด่วนกรมปศุสัตว์ 063-225-6888 หรือแอปพลิเคชัน DLD 4.0 เพื่อให้เข้าตรวจสอบและเก็บตัวอย่างส่งตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ และเข้าดำเนินการควบคุมโรคได้ทันที