วันที่ 21 ตุลาคม 2567 เวลา 14:53 น.
ปักกิ่ง, 20 ต.ค. (ซินหัว) -- เมื่อวันศุกร์ (18 ต.ค.) หวังเหล่ย ผู้อำนวยการสำนักงานเขตสาธิตการขับขี่อัตโนมัติระดับสูงแห่งกรุงปักกิ่งของจีน เปิดเผยว่าปักกิ่งวางแผนขยายเขตสาธิตการขับขี่อัตโนมัติระดับสูงของเมืองให้ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 3,000 ตารางกิโลเมตร ระหว่างถนนวงแหวนสายที่ 4 และสายที่ 6 ซึ่งใหญ่กว่าขนาดของ 6 เขตเมืองในปักกิ่งถึงสองเท่า
หวัง ซึ่งร่วมงานประชุมยานยนต์เชื่อมต่ออัจฉริยะระดับโลก ปี 2024 กล่าวว่าปักกิ่งประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะทั่วพื้นที่ 600 ตารางกิโลเมตร นับตั้งแต่เปิดตัวเขตสาธิตการขับขี่อัตโนมัติระดับสูงแห่งแรกของจีนเมื่อเดือนกันยายน 2020 และการขยายเขตสาธิตฯ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเป็นผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติของปักกิ่ง
เขตสาธิตฯ ได้ออกใบอนุญาตทดสอบบนถนนแก่บริษัท 33 แห่ง ครอบคลุมยานยนต์เกือบ 900 คัน ระยะทางทดสอบการขับขี่อัตโนมัติรวมมากกว่า 32 ล้านกิโลเมตร ซึ่งคิดเป็นมากกว่า 1 ใน 4 ของระยะทางทดสอบการขับขี่อัตโนมัติทั้งหมดของประเทศ โดยหวังเสริมว่าเขตสาธิตฯ จะขยายทั้งขนาดและความหลากหลายของสถานการณ์การใช้งานอย่างต่อเนื่อง
บริษัทยักษ์ใหญ่ อาทิ ไป่ตู้ (Baidu) โพนี.เอไอ (Pony.ai) และเจดีดอตคอม (JD.com) เป็นกลุ่มบริษัทที่เข้าร่วมโครงการเขตสาธิตการขับขี่อัตโนมัติระดับสูง นำร่องการประยุกต์ใช้ระบบอัตโนมัติต่างๆ ทั้งยานยนต์นั่งโดยสาร การจัดส่งแบบไร้คนขับ และการบริการลาดตระเวนอัตโนมัติ
ขณะเดียวกันปักกิ่งกำลังจัดทำกฎหมายใหม่เพื่อกำกับควบคุมภาคอุตสาหกรรมการขับขี่อัตโนมัติที่เติบโตอย่างรวดเร็วสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ขนานใหญ่ ซึ่งได้แรงหนุนจากเทคโนโลยีขั้นสูง ข้อบังคับเชิงสนับสนุน และความสนใจจากนักลงทุนรายใหญ่ ขณะจีนเร่งบ่มเพาะตัวขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเข้มข้น
ทั้งนี้ ข้อมูลจากกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนระบุว่าหน่วยงานความปลอดภัยสาธารณะของจีนได้ออกใบอนุญาตทดสอบยานยนต์อัตโนมัติ 16,000 ฉบับ เมื่อนับถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2024 พร้อมเปิดถนนทั่วประเทศให้มีการทดสอบยานยนต์อัตโนมัติเป็นระยะทางราว 32,000 กิโลเมตร
แมคคินซีย์ แอนด์ คอมพานี บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก คาดการณ์ว่าจีนจะกลายเป็นตลาดยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยรายได้จากยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติและการบริการทางการเดินทางจะสูงเกิน 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 16 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2030