วันที่ 17 กรกฎาคม 2567 เวลา 13:41 น.
ศาลอาญา สั่งจำคุก 2 ปี ปรับ 3 หมื่น ‘สีกาตอง’ ส่วนพี่ชาย คุก 1 ปีปรับ 1 หมื่น คดีร่วมกันกรรโชกทรัพย์ ‘อดีตพระกาโตะ’
เวลา 09.30 น.วันที่ 17ก.ค.67 ที่ห้องพิจารณาคดี 711 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีกรรโชกทรัพย์ หมายเลขดำ อ 3450/2566 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.วีรินทร์ชิตา สุวรรณรักษา หรือ อดีตสีกาตอง และนายสาธิต ลีลาจารุวรรณ พี่ชายอดีตสีกาตอง ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันกรรโชกทรัพย์
อัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดจำเลยทั้งสอง สรุปความว่า เมื่อระหว่างวันที่ 5 เม.ย.65 - 21 เม.ย.65 จำเลยที่ 1 ได้บังอาจขืนใจนายพงศกร จันทร์แก้ว หรืออดีตพระกาโตะ พระนักเทศน์ชื่อดัง ผู้เสียหาย โดยพูดขู่เข็ญบังคับให้ผู้เสียหายมอบเงินสด จำนวน 180,600 บาท ให้จำเลยที่ 1 มิฉะนั้นจะเปิดเผยคลิปสนทนาเชิงชู้สาว และภาพถ่ายข้อความเชิงสนทนาเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองให้สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไปทราบ ซึ่งจะทำให้ผู้เสียหาย ซึ่งขณะนั้นกำลังบวชเป็นพระภิกษุ เป็นพระนักเทศน์ชื่อดังมีประชาชนให้ความเคารพนับถือ จะทำให้ต้องถูกปลด หรือสึกจากการเป็นพระภิกษุสงฆ์ และเสื่อมเสียชื่อเสียง ผู้เสียหาย จึงยอมให้เงินแก่จำเลยที่ 1 หลายครั้งหลายหน รวม 180,600 บาท
คำฟ้องระบุอีกว่า นอกจากนี้จำเลยทั้งสอง ได้พูดขู่เข็ญกับผู้เสียหายอีกว่า จำเลยที่ 2 เป็นพี่ชายจำเลยที่ 1 รู้เรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ และเชิงชู้สาว ระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยที่ 1 หากผู้เสียหายยินยอมจ่ายเงินจำนวน 3 แสนบาท จำเลยที่ 2 จะให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นน้องสาว ยุติเรื่องราวที่เกิดขึ้น จะให้น้องสาวเก็บตัวอยู่เงียบๆ ไม่ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนอีก ทำให้ผู้เสียหายกลัวจะได้รับความเสียหาย ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อตัวเองและครอบครัว จึงได้ยอมมอบเงินจำนวน 3 แสนบาทแก่จำเลยที่ 1 ไป
เหตุเกิดที่ต.กะเปียด อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เกี่ยวพันกัน โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย ฐานร่วมกันกรรโชกทรัพย์ และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 3 แสนบาทแก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยทั้งสองได้รับการประกันตัว โดยเบื้องต้นให้การปฏิเสธ แต่ภายหลังให้การรับสารภาพต่อศาล โดยผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 3 หมื่นบาท โดยให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงิน 2 หมื่นบาท จำเลยที่ 2 ชดใช้เงิน 1 หมื่นบาท โดยผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลยทั้งสองอีก
ศาลจึงมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะ และพินิจ ประวัติการศึกษา สภาพครอบครัว ฯ ของจำเลยทั้งสอง แล้วรายงานให้ศาลทราบเพื่อใช้พิจารณาประกอบคำพิพากษา
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดจริง พิพากษาจำคุก 2 ปี ปรับ 3 หมื่นบาท ส่วนจำเลยที่ 1 พิพากษาจำคุก 1 ปี ปรับ 1 หมื่นบาท พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะฯ เห็นว่า จำเลยทั้งสอง ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ประกอบกับจำเลยทั้งสองได้เยียวยาค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายจนเป็นที่พอใจ จึงให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดี โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ มีกำหนดคนละ 2 ปี