วันที่ 19 มิถุนายน 2567 เวลา 10:35 น.
19 มิถุนายน 2567 จากกรณี นายเจษฎาภรณ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี และ น.ส.อังคณา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี สองสามีภรรยา สวมชุดดำและไอ้โม่งปิดบังใบหน้า ถือถังบรรจุน้ำกรดบุกเข้าไปสาดใส่ นักเรียนชั้น ม.6 อายุ 18 ปี ขณะนั่งกินข้าวอยู่กับยายและน้าชาย ภายในร้านอาหารตามสั่งแห่งหนึ่ง เขตเทศบาลนางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 27 ส.ค.2566 ที่ผ่านมา ส่วนมูลเหตุจูงใจคาดว่า สองสามีภรรยาแค้นที่เคยถูกแจ้งความฐานพรากผู้เยาว์ และทำให้เสียทรัพย์ ถึงแม้จะมีการไกล่เกลี่ยชดใช้ค่าเสียหายและคดีจบกันไปแล้ว หลังก่อเหตุทั้งสองสามีถูกตำรวจจับกุมได้ ขณะหนีไปซ่อนตัวอยู่สวนมะม่วงที่ จ.อุดรธานี
คดีนี้พนักงานอัยการจังหวัดนางรอง ได้เป็นโจทย์ยื่นฟ้องต่อศาล ในข้อกล่าวหา “พยายามฆ่า” จากที่ตอนแรกพนักงานสอบสวนแจ้งเพียงข้อหา “ทำร้ายร่างกายให้ได้รับอันตรายสาหัส” แต่อัยการเห็นว่าพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองทำด้วยการนำน้ำกรดถึง 2 ถังไปสาดใส่น.ส.ณัฐติกาต์ อาจทำให้ได้รับอันตรายแก่ชีวิต จึงให้สอบเพิ่มเติมและแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม คือ “พยายามฆ่า โดยไตร่ตรอง”
ล่าสุด นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์ เปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีดังกล่าว ว่า เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2567 ศาลจังหวัดนางรอง ได้พิพากษาตัดสินลงโทษสองสามีภรรยา ที่เป็นจำเลยในคดีนี้ ในอัตราโทษสูงสุดคือประหารชีวิต เพราะกระทำผิดฐานพยายามฆ่า และไตร่ตรอง แต่ความผิดยังไม่สำเร็จ จึงเหลือจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ จึงตัดสินลดโทษเหลือจำคุกคนละ 25 ปี แต่ผู้เป็นสามีเคยมีคำพิพากษาก่อนหน้านี้เรื่องคดีพรากผู้เยาว์ด้วย จึงเพิ่มโทษสามีอีก 10 ปี รวมเป็น 35 ปี ส่วนคดีแพ่งก็ให้ชดใช้เงินอีก 2,006,000 บาท
นายภัทรพงศ์ กล่าวต่อว่า ในฐานะทนายความที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือก็ขอชื่นชมและขอบคุณกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ชั้นตำรวจที่ติดตามจับกุมได้เร็ว ทีแรกพนักงานสอบสวนอาจจะกล่าวหาเพียงทำร้ายร่างกายให้ได้รับอันตรายสาหัส แต่อัยการเห็นว่าการกระทำและผลที่ได้รับมันเกินกว่านั้น กระทั่งมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเป็นพยายามฆ่า ซึ่งก็ได้ต่อสู้ในชั้นศาลมาร่วมปี ก็ถือว่าวันนี้ น้องผู้เสียหายได้รับความยุติธรรม แต่ก็ยังกังวลว่าหากจำเลยไม่ยอมชดใช้เงินค่าเสียหาย 2,006,000 บาทตามคำพิพากษา เพราะที่ผ่านมาทางจำเลยทั้งสองไม่เคยเยียวยาผู้เสียหายแม้แต่บาทเดียว และไม่เคยเอาเงินมาวางศาลเพื่อทุเลาผลที่กระทำผิดเลย
ด้าน แม่ของ ผู้เสียหาย กล่าวว่า พอใจในคำตัดสินของศาลที่ท่านเมตตาให้ความยุติธรรมแต่ก็ยังกังวลว่าผู้กระทำผิดทั้งคู่จะไม่จ่ายเงินเยียวยาให้ตามคำพิพากษาศาล เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยเยียวยาเลยแม้แต่บาทเดียว ตั้งแต่เกิดเหตุ ลูกสาวตนก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น แม้ว่าปัจจุบันสภาพจิตใจ และร่างกายจะเริ่มดีขึ้นบ้าง ช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ก็ยังไม่สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ ทุกวันนี้ยังต้องไปหาหมอตามนัดทั้งที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ เพื่อทำการรักษาโดยเฉพาะดวงตาที่มองไม่ชัด ใบหูที่ขาดและรูหูปิดได้ยินไม่ชัด