วันที่ 8 พฤษภาคม 2567 เวลา 13:41 น.
“ทุเรียน” ราชาผลไม้ของไทย เชื่อว่าเมื่อพูดถึงทุเรียนแล้ว หลายคนก็คงจะนึกถึงกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์และรสชาติหวานมัน เนื้อที่นุ่มละมุน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทุเรียนเป็นผลไม้ที่เป็นที่รู้จักและนิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลาย ทั้งคนไทย และชาวต่างชาติ
ภายในเนื้อทุเรียนอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญหลากหลายชนิด คุณค่าทางโภชนาการของเนื้อทุเรียนต่อ 100 กรัม
พลังงาน 174 กิโลแคลอรี่
คาร์โบไฮเดรต 27.09 กรัม
เส้นใย 3.8 กรัม
ไขมัน 5.33 กรัม
โปรตีน 1.47 กรัม
วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินบี 9
วิตามินซี แคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม แมงกานีส ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม สังกะสี
ร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ (อ้างอิงข้อมูลจาก : USDA Nutrient database )
ในทางแพทย์แผนจีน ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีรสหวาน เผ็ด ฤทธิ์ร้อน สามารถบำรุงม้าม เพิ่มชี่(ลมปราณ) บำรุงไต เพิ่มหยาง และความอุ่นให้กับร่างกาย เหมาะกับคนที่ร่างกายอ่อนแอ เลือดและลมปราณน้อย เนื่องจากเนื้อทุเรียนอุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย ดังนั้นจึงมีประโยชน์ในด้านอื่นๆอีก เช่น
-ใยอาหารในทุเรียน ช่วยในเรื่องของการขับถ่ายได้ดี
-ทุเรียนมีเบต้าแคโรทีน ซึ่งสารอาหารชนิดนี้มีส่วนช่วยบำรุงสายตา
-ทุเรียนอุดมไปด้วยโฟเลต เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการสร้างเม็ดเลือด
-ทุเรียนมีสารต้านอนุมูลอิสระ จากการศึกษาของนักวิจัยสถาบันค้นคว้าและพัฒนา
ผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่า ทุเรียนมีฤทธิ์ในการกำจัดอนุมูลอิสระ บางชนิด ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้หน้าแก่เกินวัย ดังนั้นหากบริโภคทุเรียนตามสัดส่วนที่พอดี จะช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายได้
แต่ไม่แนะนำให้กินทุเรียนเพื่อหวังผลเบื้องต้นที่กล่าวมา เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับทั้งคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล และไขมันสูงไปด้วย หากกินทุเรียนในปริมาณที่เพียงพอ ก็ย่อมส่งผลดีต่อร่างกายได้อย่างมากมายเช่นกัน
- คำแนะนำในการกินทุเรียนให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ ฉบับแพทย์แผนจีน
เนื่องจากทุเรียนในทางแพทย์แผนจีนจัดเป็นผลไม้ฤทธิ์ร้อน ถ้าบริโภคมากเกินความจำเป็น จะทำให้ร่างกายสะสมความร้อนไว้มากเกินไป ซึ่งจะส่งผลต่างๆตามมามากมาย เช่น จะร้อนใน เจ็บคอ เป็นแผลในปาก ท้องผูก เป็นต้น
ดังนั้นผู้ที่มีพื้นฐานสุขภาพค่อนไปทางร้อน และหยินพร่อง ควรรับประทานทุเรียนอย่างพอเหมาะ จากข้อมูลของกรมอนามัยแนะนำว่าไม่ควรกินทุเรียนเกินวันละ 2 เม็ดกลาง เนื่องจากการกินทุเรียน 4-6 เม็ด เทียบเท่ากับการดื่มน้ำอัดลม 2 กระป๋อง (พลังงานประมาณ 400 กิโลแคลอรี่) จึงเป็นเหตุให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินควร
ดังนั้นไม่ควรรับประทานทุเรียนเกินวันละ 2 เม็ด ไม่กินถี่ทุกวัน และลดอาหารกลุ่มข้าวแป้ง ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสหวานจัด หรือมันจัด เพื่อที่จะได้รับพลังงานในปริมาณที่ไม่เกินกว่าร่างกายต้องการ
นอกจากเนื้อทุเรียนแล้ว ยังหมายรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากทุเรียน เช่น ทุเรียนทอด ทุเรียนกวน ไอศกรีมรสทุเรียน
หากรับประทานมากติดต่อกันหลายๆ วัน ก็จะทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาได้ ซึ่งเราควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย จึงจะได้ทั้งความอิ่มอร่อยและสุขภาพดีอย่างไม่ต้องกังวลกับปัญหาสุขภาพที่จะตามมา
ผู้มีโรคประจำตัว ที่ไม่ควรทาน หรือทานได้แต่ต้องระมัดระวัง
1.ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าทุเรียนจัดเป็นผลไม้ที่ให้น้ำตาล ไขมัน และมีพลังงานสูง ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานกินทุเรียนเข้าไป อาจทำให้มีอาการน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป ส่งผลให้เจ็บป่วยไม่สบายตัวหรือร้อนใน และอาจเป็นอันตรายถึงภาวะช็อกได้
2.ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
ทุเรียนจัดว่าเป็นผลไม้ฤทธิ์ร้อน จึงไม่ควรรับประทานในปริมาณมาก เพราะจะทำให้ความดันสูงขึ้นจนอาจเป็นอันตรายแก่ร่างกายได้
3.ผู้ป่วยโรคไตและโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง ผู้ป่วยโรคไตร่างกายจะขับโพแทสเซียมออกได้ไม่ดี ซึ่งถ้ามีการสะสมของโพแทสเซียมปริมาณมาก จะส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
4. ผู้ที่ต้องการคุมปริมาณน้ำตาลและไขมันในเลือด
ทุเรียนจัดเป็นผลไม้ที่ให้น้ำตาล ไขมัน และมีพลังงานสูง ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการกินทุเรียน ทั้งทุเรียนสดและทุเรียนแปรรูป และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
ตามแผนจีนทุเรียนไม่ควรทานคู่กับอะไรบ้าง
1.ไม่ควรกินร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะการกินทุเรียนร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะก่อให้เกิดอาการหน้าแดง ชา วิงเวียน และอาเจียนได้ อีกทั้งทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมัน และคาร์โบไฮเดรตสูง ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ให้พลังงานสูงเช่นเดียวกัน เมื่อกินทุเรียนร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร่างกายจะได้รับพลังงานที่มากเกินไป ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
2.ไม่ควรกินร่วมกับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หากรับประทานคู่กับคาเฟอีนก็จะทำให้ปวดศีรษะได้
หลายคนอาจเคยได้ยินมาบ้างว่า ควรรับประทานทุเรียนคู่กับมังคุดช่วยลดความร้อน ตามหลักการแพทย์แผนโบราณของจีนกล่าวว่าทุเรียนเป็นผลไม้ฤทธิ์ร้อน มังคุดเป็นผลไม้ฤทธิ์เย็นที่จะช่วยดับความร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าในแง่ของฤทธิ์ ผลไม้ทั้ง 2 อย่างนี้จะเกี่ยวข้องกัน แต่อย่างไรก็ตามในแง่โภชนาการแล้ว ทั้งทุเรียนและมังคุดต่างก็มีน้ำตาลสูง ดังนั้นไม่ควรรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป
ข้อมูลโดย แพทย์จีนพรฟ้า อนันต์ไพศาล แพทย์แผนจีน ประจำศูนย์การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
15 พฤศจิกายน 2567
เปิดผลตรวจ "แมวแม่หยัว" เผยผู้เชี่ยวชาญที่อ้างตอนวางยา ไม่ใช่สัตวแพทย์
15 พฤศจิกายน 2567
ไฟไหม้กองขยะ ย่านซอยโชคชัย 4 แล้วลุกลามรถยนต์ที่จอดใต้อาคารเสียหาย 3 คัน
15 พฤศจิกายน 2567
เปิดผลตรวจ "แมวแม่หยัว" เผยผู้เชี่ยวชาญที่อ้างตอนวางยา ไม่ใช่สัตวแพทย์
15 พฤศจิกายน 2567
ไฟไหม้กองขยะ ย่านซอยโชคชัย 4 แล้วลุกลามรถยนต์ที่จอดใต้อาคารเสียหาย 3 คัน