วันที่ 27 กันยายน 2566 เวลา 10:56 น.
หลังได้รับกรรร้องทุกข์จากผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนว่า ถูกแก็งค์มิจฉาชีพตระเวนอาละวาดออกล้วงกระเป๋าลักทรัพย์ คนไทยและนักท่องเที่ยวย่านใจกลางกรุง ไม่เว้นแต่ละวัน จึงได้สั่งการจัดทีม สืบสวนนครบาล และนักสืบ 113 ออกแกะรอยสืบสวนพบ “กลุ่มแก๊งมือเซียน” กระทั่งจับกุมได้ 2 รายคือ 1. นายบุญ หรือเจน อายุ 43 ปี สัญชาติกัมพูชา 2.นายจัน หรือยวน เน็ต อายุ 31 ปี สัญชาติกัมพูชา โดยแจ้งข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์ฯ(ล้วงกระเป๋า)”
โดยกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 2 ว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” พร้อมตรวจยึดของกลาง ได้แก่ 1. เสื้อผ้าและอุปกรณ์ที่ผู้ถูกจับใช้ในการก่อเหตุ จำนวน 1 ชุด 2. เงินสด จำนวน 30,000 บาท 3. แหวน ลักษระคล้ายทองคำ จำนวน 1 วง 4. พระเครื่องพร้อมกรอบ ลักษระคล้ายทองทำ จำนวน 1 องค์ 5. สร้อยคำ ลักษณะคล้ายทองคำจำนวน 1 เส้น และ 6.โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ oppo จำนวน 1 เครื่อง และ 7. ของกลางอื่นๆ อาทิ สมุดบัญชีธนาคารต่างๆ จำนวน 3 เล่ม , ตั๋วจำนวนทอง จำนวน 5 ใบ และรายการอื่นๆ รวม 22 รายการ
โดยจับกุมตัวได้ที่บริเวณหน้าห้างอิมพีเรียล สาขาสำโรง ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ
พฤติการณ์กล่าวคือ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนและนักท่องเที่ยวผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน ว่าเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 ได้มีกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพออกตระเวนล้วงกระเป๋าเอาทรัพย์สินพนักงานและนักท่องเที่ยวจำนวนหลายราย ในพื้นที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. ทำการสืบสวน จนทราบแผนประทุษกรรมของแก๊งนี้ ประกอบด้วยสมาชิกเป็นชาวกัมพูชาประมาณ 4-5 คน ซึ่งพักอาศัยในอพาร์ทเมนต์ย่านสำโรง-เทพารักษ์ จะออกตระเวนก่อเหตุล้วงกระเป๋าเป็นอาชีพตามแหล่งชุมชนที่มีนักท่องเที่ยวและผู้คนสัญจรพลุกพล่าน โดยมักจะรวมตัวบริเวณห้างดังย่านสำโรง หรือ สี่แยกบางนา แล้วเดินทางโดยใช้รถสาธารณะ เข้าพื้นที่เป้าหมาย บางจุดมีระยะทางกว่า 30 กิโลเมตร ในย่านธุรกิจสำคัญๆ สับเปลี่ยน หมุนเวียน วันเว้นวัน ไม่ซ้ำเวลา ทั้งในช่วงเช้า (ตั้งแต่ 06.00 น.) จนถึงช่วงค่ำ (24.00 น.) ในย่านสำคัญ อาทิ ย่านสุขุมวิท ซอยนานา , สีลม , สาธร , ตลาดประตูน้ำ , สี่แยกเกษตร ตลอดเส้นจนถึง เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน โดยมักจะเลือกเหยื่อทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ โดยเน้นสัญชาติ ญี่ปุ่น เกาหลี และสัญชาติจีน เป็นหลัก ไม่เว้นแม้กระทั่งชายและหญิง ที่มีการสะพายกระเป๋าเป้ไว้ทางด้านหลัง ซึ่งวิธีการก่อเหตุของกลุ่มนี้ จะทำงานกันเป็นทีมอย่างน้อย 2 คน จะลงพื้นที่เดินไปมาโดยรอบและติดตามหาเหยื่อ เมื่อพบเป้าหมายก็จะมีการแบ่งหน้าที่กันทำแบบชัดเจน โดยคนหนึ่งจะทำหน้าที่ติดตามสังเกตการณ์ตรวจตราพื้นที่โดยรอบเพื่อรอจังหวะที่จะออกคำสั่งผ่านการโทรศัพท์ในรูปแบบหูฟังไร้สาย (Bluetooth) ไปยังอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้เคียงเข้าเดินตามติดผู้เสียหายและเมื่อสบโอกาส คนร้ายจะทำการล้วงกระเป๋าโดยการเปิดซิปเป้สะพายหลังก่อนล้วงเอาทรัพย์สิน โดยอีกคนจะทำหน้าที่เดินบังเพื่อมิให้คนอื่นเหตุพฤติกรรมการก่อเหตุ เมื่อได้ทรัพย์ทั้งคู่จะเดินฉีกออกก่อนจะขึ้นรถโดยสารสาธารณะหลบหนี แล้วนัดกันแบ่งทรัพย์สินที่ได้มา
จากการตรวจสอบประวัติการต้องโทษพบว่า นายบุญ หรือเจนฯ ผู้ถูกจับเคยต้องโทษในลักษณะเดียวกันในฐานความผิด “ลักทรัพย์” เมื่อปี พ.ศ.2561 ที่ผ่านมา
ในชั้นจับกุม นายบุญฯ และนายจันฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “เมื่อประมาณต้นปี พ.ศ.2566 ผู้ถูกจับทั้งสองได้ลักลอบเข้าประเทศไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติในพื้นที่ จ.สระแก้ว โดยเมื่อเข้ามาในประเทศไทย โดยไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง และผู้ถูกจับทั้งสองได้รู้จักกัน คบหา และมีความสนิทสนมกันประมาณ 5 เดือน จึงได้ชักชวนเพื่อนๆที่รู้จัก รวมตัวกันศึกษา เรียนรู้ และวางแผน โดยมีเพื่อนแก็งนักล้วงกระเป๋าชาวเวียดนาม คอยให้คำปรึกษาและสอนเทคนิควิธีการล้วงกระเป๋าระดับเซียนให้กลุ่มแก็งค์นักล้วงกระเป๋าดังกล่าวจนซ้ำซอง และเดินทางเข้ามาก่อเหตุในพื้นที่แหล่งชุมชนดังกล่าวที่มีนักท่องเที่ยวและผู้คนสัญจรและชุมนุมอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อได้ทรัพย์สินที่ลักมาได้ จะโอนเงิน หรือ ซื้อเป็นทองคำรูปพรรณ ส่งกลับไปให้ภูมิลำเนาบ้าน ณ ประเทศเพื่อนบ้าน โดยผู้ถูกจับทั้งสองรับว่า กลุ่มของตนได้ออกตระเวนล้วงกระเป๋าในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแต่ละวัน โดยบางวันสามารถล้วงกระเป๋าผู้เสียหายได้มากถึง 3-4 รายรวมจำนวนการก่อเหตุมากกว่า 100 ครั้ง หลังการจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนนครบาล จึงได้นำตัวผู้ถูกจับทั้งสองส่งพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบของ สน.ทุ่งมหาเมฆ และ สภ.สำโรงเหนือ จว.สมุทรปราการโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบนครบาลได้เฝ้าติดตามพฤติกรรมและสะกดรอยกลุ่มบุคคลต้องสงสัยเป็นระยะเวลากว่า 2 สัปดาห์ จนแน่ชัดพบกลุ่มแกงค์นักล้วงกระเป๋าที่ตระเวนก่อเหตุจริง จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและเข้าทำการจับกุมพร้อมตรวจยึดของกลาง รวม 22 รายการเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป