วันที่ 24 สิงหาคม 2566 พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา เป็นประธานกล่าวเปิดการสัมมนา เรื่อง “ กฎหมายมาตรฐานและแนวปฏิบัติที่ดี เพื่อคุ้มครองและยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานที่ต้องยกหรือเคลื่อนย้ายวัสดุหนักด้วยแรงกาย” โดยมี พลเรือเอก พัลลภ ตมิศานนท์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สอง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านการสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การสัมมนา มีผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการสัมมนา ณ ห้องบอลรูม 1 ชั้น 3 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร

พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีโครงสร้างประชากรที่อยู่ในวัยทํางานเป็นส่วนใหญ่ของสังคมที่ภาครัฐต้องให้ความสําคัญ เนื่องจากหากกลุ่มบุคคลดังกล่าวมีสุขภาพร่างกายที่ดีไม่เจ็บป่วย และมีความมั่นคงในการทํางาน อันเกิดจากระบบการคุ้มครองแรงงานที่ได้มาตรฐาน ก็จะเป็นภาคส่วนที่ช่วยขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทยให้มีความเจริญก้าวหน้า อย่างมั่นคงและยั่งยืนได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ในสภาพความเป็นจริงของการทำงานเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายวัสดุหนักด้วยแรงกาย พบว่า ยังมีการละเลยหรือยังไม่ได้ให้ความสำคัญต่อระบบการทำงานที่ได้มาตรฐานเท่าที่ควร ซึ่งจากรายงานสถานการณ์การประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานระหว่างปี 2561-2565 จากสำนักงานกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม พบว่า โดยเฉลี่ย 5 ปี มีลูกจ้างประสบอันตราย จำนวน 4,760 ราย คิดเป็นร้อยละ 1.13 ต่อปี ของจำนวนการประสบอันตรายทั้งหมด และ 1 ใน 5 อันดับแรกของอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นมากที่สุด คือ โรคหรืออาการเจ็บป่วยจากระบบกล้ามเนื้อและโครงสร้างกระดูกที่เกิดขึ้นเนื่องจากการทำงาน

พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวต่อว่า คณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา จึงมีมติให้มีการจัดสัมมนาครั้งนี้ขึ้น เพื่อรับฟังและรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงจากผู้เข้าร่วมสัมมนาเกี่ยวกับสภาพข้อเท็จจริงของการทำงานที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และการเตรียมความพร้อมของทุกภาคส่วนในการพัฒนาระบบการคุ้มครองแรงงานเกี่ยวกับการจัดทำมาตรฐานและแนวปฏิบัติที่ดีเพื่อคุ้มครองและยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานที่ต้องยกหรือเคลื่อนย้ายวัสดุหนักด้วยแรงกายในทั้งระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งการสัมมนาในวันนี้มีผู้เข้าร่วมสัมมนาจากทุกภาคส่วนทั้งฝ่ายลูกจ้าง ฝ่ายนายจ้าง ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง จำนวน 150 คน ทั้งนี้ ผลจากการสัมมนาในครั้งนี้จะได้มีการนำไปวิเคราะห์เพื่อจัดทำรายงานการพิจารณาศึกษาเสนอต่อที่ประชุมวุฒิสภาในโอกาสต่อไป