หน้าแรก > อาชญากรรม

ตำรวจบุกช่วยสาวนักศึกษา ถูกหลอกจับตัว และขู่แม่เหยื่อ โอนเงินค่าไถ่ 2 ล้านบาท

วันที่ 13 สิงหาคม 2566 เวลา 13:22 น.


วันที่ 13 ส.ค. 66 พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม./หัวหน้า ศปอส.ตร.ชป.1, เปิดเผยว่า พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พร้อมชุดทำงานได้ติดตามหาตัวผู้เสียหายโดยเน้นความปลอดภัยของผู้เสียหาย และให้ดำเนินการสืบสวนจับกุมกลุ่มคนร้ายโดยเร็ว เมื่อวันที่ 7 ส.ค.66 เวลาประมาณ 9.00 น.

โดยพฤติกรรมของคนร้ายซึ่งเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทรหาผู้เสียหายเป็นนักศึกษาสาว โดยอ้างว่าเป็น เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไทย สาขาสงขลา แจ้งว่า พบสมุดบัญชีของผู้เสียหายในกล่องพัสดุที่ถูกอายัด เนื่องจากพัสดุดังกล่าวมีความเกี่ยวพันกับขบวนการฟอกเงิน ต่อมาคนร้ายหลอกถามเลขบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย ว่าตรงกับสมุดบัญชีในกล่องพัสดุดังกล่าวหรือไม่ และได้แนะนำให้ผู้เสียหายแจ้งตำรวจ สภ.เมืองสงขลา โดยทางคนร้ายที่อ้างตัวเป็นไปรษณีย์ไทย ได้อาสาประสานติดต่อตำรวจให้เองและทำทีเป็นโอนสายไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสงขลา ได้สอบถามกับผู้เสียหายว่าในเรื่องยอดเงินเข้าบัญชี

จากนั้นคนร้ายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงแจ้งว่าผู้เสียหายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฟอกเงิน และให้ติดต่อผ่านไลน์ โดยใช้ชื่อ “สภ.เมืองสงขลา” เพื่อวิดีโอคอล โดยคนร้ายอ้างเป็นตำรวจ ผกก.สภ.เมืองสงขลา และแต่งกายในชุดเครื่องแบบตำรวจ และได้ส่งเอกสารราชการปลอมซึ่งระบุชื่อและเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียหาย โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน เพื่อที่จะให้ผู้เสียโอนเงินเข้าบัญชีคนร้ายเพื่อตรวจสอบ ผู้เสียหายจึงได้โอนเงินทั้งหมดในบัญชีรวมถึงยอด 13,000 บาท ไปให้กับคนร้าย

ต่อมาคนร้ายได้แจ้งกับผู้เสียหายว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำการสืบสวนคดีนี้ซึ่งเป็นคดีลับ จึงขอให้เก็บเป็นความลับและห้ามไม่ให้ผู้อื่นทราบ และได้สอบถามว่าตัวผู้เสียหายอยู่ที่ไหน ผู้เสียหายแจ้งว่าอยู่ที่หอบริเวณมหาลัย จึงขอให้ผู้เสียหายไปเก็บตัวอยู่คนเดียวและให้ปิดการแจ้งเตือนภายในโทรศัพท์ทั้งหมด และให้ย้ายสถานที่ไปโรงแรมใกล้มหาลัย แต่เนื่องจากบริเวณมหาลัยไม่มีโรงแรม ทางคนร้ายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงให้ผู้เสียหายไปยังฟิวเจอร์พาร์ครังสิต และให้ไปเปิดซิมโทรศัพท์ใหม่

ต่อมาคนร้ายจึงแนะนำให้ไปเช่าห้องพักแถวรังสิต ต.คูคต อ.ลำลูกกา จว.ปทุมธานี โดยแจ้งกับผู้เสียหายว่าบริเวณรีสอร์ตดังกล่าว มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา โดยเมื่อถึงที่พักคนร้ายให้ผู้เสียหายเปลี่ยนซิมโทรศัพท์ เพื่อที่จะไม่ให้มีผู้ใดสามารถติดต่อผู้เสียหายได้ และได้แจ้งให้ผู้เสียหายสมัคร ไลน์ ใหม่ผ่านไอแพด และให้ผู้เสียหายแอดไลน์ ชื่อ “หน่วยงาน ปปง.พิเศษ” และได้วิดีโอคอลกับคนร้ายที่อ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงาน ปปง.พิเศษ

ต่อมาได้แจ้งให้ผู้เสียหายลบแอพพลิเคชั่นที่สามารถติดต่อกับผู้อื่นทั้งภายในโทรศัพท์มือถือและไอแพด อย่าง ไลน์ ,เฟซบุ๊ก ,อินสตาแกรม และแมสเซนเจอร์ โดยให้เหลือไว้เฉพาะแอพพลิเคชั่น ไลน์ ในไอแพด ไว้แอพเดียว และให้เปิดวิดีโอคอลไลน์ ในไอแพด คุยกับคนร้ายที่อ้างเป็นหน่วยงาน ปปง.พิเศษ ตลอดเวลา ซึ่งคนร้ายได้คอยเฝ้าดูและควบคุมการกระทำทุกอย่างของผู้เสียหายผ่านวิดีโอคอล และได้หลอกส่งคิวอาร์โค้ดล็อกอินเข้าไลน์ มาให้ผู้เสียหายสแกนเพื่อเข้าไลน์อันเดิมของผู้เสียหาย ทำให้คนร้ายสามารถควบคุมไลน์อันเดิมของผู้เสียหายได้สำเร็จ

ระหว่างที่อยู่ภายในห้องพัก คนร้ายได้สอบถามว่าที่บ้านประกอบธุรกิจอะไร ผู้เสียหายได้บอกข้อมูล ชื่อ สกุล เบอร์โทรของพ่อ แม่ ต่อมาคนร้ายได้แจ้งกับผู้เสียหายว่าในคดีนี้ จำเป็นต้องใช้หลักทรัพย์ในการประกันประมาณ 200,000 บาท จึงถามผู้เสียหายว่าจะขอยืมเงินจากใครได้บ้าง และให้ผู้เสียหายทดลองขอยืมเงินโดยให้ผู้เสียหายโทรหาเพื่อน และแม่ของผู้เสียหายเพื่อขอยืมเงิน ซึ่งระหว่างที่โทรไปหาแม่และเพื่อนของผู้เสียหาย คนร้ายได้เฝ้าดูผู้เสียหายผ่านวิดีโอคอลขณะผู้เสียหายกำลังคุยโทรศัพท์ตลอดเวลา

ต่อมาคนร้ายจึงได้ออกอุบายที่จะช่วยเกี่ยวกับหลักทรัพย์ในการประกันให้กับผู้เสียหายโดยบอกให้ผู้เสียหายทำตามไปซื้อเทปกาว และกรรไกร เพื่อนำมาถ่ายคลิปโดยมัดมือมัดเท้าตนเองส่งให้กับคนร้าย โดยแจ้งว่าคลิปดังกล่าวจะเป็นความลับ ไม่มีการเผยแพร่อย่างแน่นอน  เนื่องด้วยความกลัวที่คนร้ายข่มขู่ว่าถ้าไม่ทำตามจะถูกดำเนินคดี และความอยากกลับบ้าน ผู้เสียหายจึงยอมทำตาม

โดยต่อมาคนร้าย ได้ติดต่อและส่งคลิปดังกล่าวให้กับแม่ของผู้เสียหาย ด้วย ไลน์อันเก่าของผู้เสียหายที่คนร้ายหลอกให้ สแกนคิวอาร์โค้ด และได้โทรผ่านไลน์ติดต่อแม่ของผู้เสียหาย ซึ่งคนร้ายได้ส่งบทให้ผู้เสียหายพูดตามว่า “หนูไม่สำคัญกับแม่เลยใช่ไหมค่ะ หนูไม่มีค่าสำหรับแม่เลยใช่ไหม ถ้าแม่ไม่ช่วยหนู หนูคงไม่มีโอกาสได้กลับบ้านอีกแล้วนะ”

จึงทำให้แม่เชื่อว่าผู้เสียหายอยู่กับคนร้าย และตกอยู่ในอันตราย โดยคนร้ายขู่ว่าผู้เสียหายจะเป็นอันตราย ถ้าแม่ของผู้เสียหายไม่โอนเงิน จำนวน 2 ล้านบาทเข้าบัญชีของผู้เสียหาย ต่อมาแม่ของผู้เสียหาย จึงได้แจ้งขอความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุด PCT 1

ต่อมาจากการสืบสวนทราบว่าผู้เสียหายเข้าพักอยู่รีสอร์ต จ.ปทุมธานี ทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงเข้าตรวจสอบณ พบ นางสาว ก. อยู่ภายในห้องเพียงคนเดียว โดยคนร้ายรีบตัดสายสนทนาทิ้งทันที โดยจากการสืบสวนพบว่าคนร้ายทั้งหมดได้กระทำความผิดอยู่ที่ ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา โดยใช้โทรศัพท์ และควบคุมเหยื่อด้วยการวิดีโอคอล

พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวทิ้งท้ายว่า รูปแบบการกระทำผิดข้างต้นเป็นแผนประทุษกรรมรูปแบบใหม่ของแก๊งคอลเซนเตอร์ โดยใช้วิธีการแยกหลอกเหยื่อ และผู้ปกครองของเหยื่อ โดยอ้างใช้การเรียกค่าไถ่ และข่มขู่จะทำอันตรายเหยื่อ

เพื่อให้ผู้ปกครองยอมโอนเงินทั้งหมดให้ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องระดมกำลังเพื่อออกปฏิบัติการเนื่องจาก ผู้ปกครองเป็นห่วงความปลอดภัย เข้าใจว่าเป็นเรื่องเรียกค่าไถ่จริง สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมเป็นอย่างมาก อยากประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนมีภูมิคุ้มกันในแผนประทุษกรรมรูปแบบใหม่ของแก๊งคอลเซนเตอร์ และขอเตือนคนไทยที่ร่วมกระทำผิด

ข่าวยอดนิยม


ข่าวยอดนิยม