ภายหลัง Twitter เปิดให้ผู้ใช้งาน Twitter Blue ฟีเจอร์สำหรับผู้ที่อยากสัมผัสความพรีเมี่ยมไปอีกขั้นของการเล่น Twitter โดยมีค่าใช้อยู่ที่ประมาณ 100 บาทต่อเดือน ล่าสุด Mark Zuckerburg ได้ประกาศเตรียมนำร่องฟีเจอร์ใหม่ Meta Verified ซึ่งผู้ใช้จะต้องยอมจ่ายเงินเริ่มต้นราว 400 บาทต่อเดือน แลกกับเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้าหลังชื่อเพื่อยืนยันตัวตนว่าเป็นเราจริง ๆ ป้องกันผู้แอบอ้างเอาชื่อของเรา หรือรูปภาพของเราไปใช้ อีกทั้งยังได้รับสิทธิพิเศษเพื่อคุยกับฝ่ายบริการลูกค้าได้โดยตรง ซึ่งถ้าใครอยากใช้ฟีเจอร์ที่ว่านี้จะต้องเสียเงินเป็นจำนวน 11.99 เหรียญสหรัฐฯ ราว 400 บาท แต่ถ้าใครใช้มือถือในระบบ iOS อาจจะต้องเสียค่าบริการที่แพงกว่าสนนราคาอยู่ที่ 14.99 เหรียญฯ หรือ ราว 500 บาท หลังจากนั้นก็จะต้องผ่านการยืนยันตัวตนด้วยการส่งหน้าบัตรประจำตัวที่ออกโดยรัฐฯ ไปให้ทางแอปตรวจสอบถึงจะได้รับเครื่องหมายติ๊กถูกหลังชื่อ แต่ขณะเดียวกัน สำหรับใครที่เคยมีเครื่องหมายติ๊กถูกอยู่แล้วก็ไม่ต้องจ่ายเงินใด ๆ ทั้งสิ้น  นอกจากนี้ หากต้องการตรวจสอบยืนยันบัญชีหนึ่ง แต่คุณมีบัญชีอื่นที่ใช้ชื่อและรูปโปรไฟล์เดียวกัน บัญชีเหล่านั้นอาจถูกปิดใช้งานผ่านการตรวจสอบการแอบอ้าง เพื่อป้องกันเหตุการณ์ในลักษณะนี้ โปรดดูให้แน่ใจว่าคุณเพิ่มบัญชีลงในศูนย์บัญชีเดียวกันแล้ว

โดยฟีเจอร์นี้จะรองรับในแอปเครือ Meta ทั้ง Facebook และ Instagram แต่ค่าบริการจะแยกกัน ซึ่งหมายความว่าใครที่ต้องการเครื่องหมายทั้งใน Facebook และ Instagram จะต้องจ่ายเงินให้กับทั้ง 2 แอปรวมเงินเป็นราว ๆ 800 บาทต่อเดือน  แต่ในอนาคต Meta มีแผนจะออกบริการขายแบบแพ็คคู่ Bundled Subscriptions เพื่อลดค่าบริการด้วย  นอกจากนี้ หากคุณตรวจสอบยืนยันบัญชีหนึ่ง แต่คุณมีบัญชีอื่นที่ใช้ชื่อและรูปโปรไฟล์เดียวกัน บัญชีเหล่านั้นอาจถูกปิดใช้งานผ่านการตรวจสอบการแอบอ้าง เพื่อป้องกันเหตุการณ์ในลักษณะนี้ โปรดดูให้แน่ใจว่าคุณเพิ่มบัญชีลงในศูนย์บัญชีเดียวกันแล้ว

เงื่อนไขสำหรับการใช้งาน Verified คือจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดขั้นต่ำเกี่ยวกับการมีสิทธิ์ใช้งาน ดังนี้
-เป็นโปรไฟล์สาธารณะหรือโปรไฟล์ส่วนตัวที่มีชื่อ-นามสกุลจริง
-มีรูปโปรไฟล์แสดงใบหน้าที่ตรงกับเอกสารที่ออกโดยรัฐบาล
-บัญชีต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกิจกรรมขั้นต่ำ
-เปิดการใช้งานยืนยันตัวตนแบบสองชั้น
-บัญชีเป็นไปตามข้อกำหนดและมาตรฐานชุมชน

โดยจะเริ่มนำร่องเปิดบริการใน ประเทศออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ก่อน ส่วนประเทศอื่นจะค่อย ๆ เปิดให้ใช้งานเร็ว ๆ นี้