วันนี้ (13 มิถุนายน 2566) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงกรณีการเคลียร์หนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ระหว่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) ให้กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ว่า ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของ กทม. และคงต้องรอรัฐบาลใหม่พิจารณา 

"กทม.กำลังพยายามจะหาแนวทางที่จะดูแลเรื่องนี้ หลังจากที่ได้มีการทำเรื่อง มาถึง ครม. แต่ ครม.คงไม่สามารถจะพิจารณาได้ตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)คงจะต้องรอรัฐบาลใหม่  ในส่วนของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และ ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการนั้น ปัญหาหลักคือจะทำวิธีใดก็ได้ แต่ติดปัญหาเรื่องหนี้สินที่มีว่าจะใช้งบประมาณจากที่ใด กทม.ก็คงไม่มี แต่เมื่อไม่มีก็เหลือหนทางที่จะทำได้ ก็คือให้เอกชนทำ และต้องเข้าคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ซึ่งก็ต้องรออีกหลายปีกว่าจะเป็นสมบัติของ กทม. ก็ในปี 2573 ถึงจะเริ่มใช้ได้"

“หนี้สินในแต่ละปีจะใช้เงินจำนวนเท่าใด เหลือทางออกทางเดียวคือ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่จะพิจารณา ตอนนี้ภาระหนักจึงตกที่บริษัทฯ เพราะยังต้องเดินรถ ให้บริการประชาชน ส่วน กทม. ก็ยังไม่มีความสามารถที่จะจ่ายหนี้สิน แต่ก็คิดว่าจะต้องหาทางแก้ไขอยู่แล้ว”

ขณะที่เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ที่ผ่านมา นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.)ได้หารือร่วมกับนายคีรี กาญจนพาสจน์ ประธานกรรมการบริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาภาระหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว เบื้องต้น กทม.จะขอชำระหนี้ค่าจ้างติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ (E&M) ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ จำนวน 20,000 ล้านบาท เนื่องจากครบกำหนดชำระแก่เอกชนแล้ว โดยจะเสนอต่อสภากรุงเทพมหานคร (กทม.) พิจารณาภายในเดือนกรกฎาคม 2566 นี้

สำหรับหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวปัจจุบันที่ภาครัฐค้างชำระแก่ บีทีเอส รวมวงเงินกว่า 50,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.หนี้ค่าจ้างติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ (E&M) ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ จำนวน 22,000 ล้านบาท 2.หนี้ค่าจ้างดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ จำนวน 30,000 ล้านบาท